รีวิว Luckiest Girl Alive (2022) ให้ตายสิ…ใครๆ ก็อิจฉา

เบื้องหลังความสำเร็จและชีวิตที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ ชีวิตที่ผู้คนต่างอิจฉาและอยากเป็นดั่งเธอ ไม่มีใครล่วงรู้ความจริงว่าภาพลักษณ์สวยหรูเหล่านั้นเต็มไปด้วยความลับมืดมิดที่มิอาจเปิดเผยความจริงให้ใครรู้ได้ Luckiest Girl Alive (2022) ให้ตายสิ…ใครๆ ก็อิจฉา หนังระทึกขวัญลึกลับซ่อนเงื่อนเรื่องดัง กับเรื่องราวอดีตอันเลวร้ายและมืดมนของหญิงสาวผู้สมบูรณ์แบบ ผ่านฝีมือการกำกับของ Mike Barker ที่มีผลงานจาก The Handmaid’s Tale (2017) และ The Sandman เนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวของ Ani FaNelli (รับบทโดย Mila Kunis) บรรณาธิการนิตยสารสาวผู้สมบูรณ์แบบ 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงาน ภาพลักษณ์และคู่หมั่นไฮโซของเธอ แต่แล้วเรื่องราวก็เปลี่ยนไปเมื่ออดีตที่เธอพยายามเก็บงำเอาไว้นานแสนนานไว้กำลังจะถูกขุดคุ้ยขึ้นมาอีกครั้งผ่านเรื่องราวอันน่าสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนเมื่อหลายปีก่อน โดยความลับนี้จะเป็นฉนวนสำคัญที่สามารถทำลายทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาได้ในพริบตา

ตัวหนังมีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมง 55 นาที เริ่มต้นเล่าแบบเรียบง่าย นิ่งๆ แต่ค่อยๆ ส่งความน่ากลัวออกมาทีละนิด ผ่านการตัดสลับฉากในอดีตที่ถูกใส่เข้ามาได้อย่างลงตัว ถือว่าลำดับภาพออกมาได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว ไดนามิกโดยรวมของหนังไม่ได้หวือหวาหรือมีอะไรให้น่าตื่นเต้นจนถึงขั้นสุด โดยรวมมีตัวหนังไม่ได้มีเนื้อหาที่ยากนักเพราะด้วยการใช้เสียงบรรยายของตัวละครมาช่วยเล่าและดำเนินเรื่องก็ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างดียิ่งขึ้น

วิธีการเล่าของเรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรใหม่นัก แต่น่าชื่นชมเพราะเรียงเนื้อหาและลำดับภาพออกมาได้อย่างดีมาก ตัวหนังมันไม่ถึงกับนิ่งมากแต่ก็ชวนให้ตื่นเต้นและอยากดูได้เรื่อยๆ ด้านเนื้อหาหลักก็ค่อนข้างมีมิติเลย เล่าถึงประเด็นสังคมได้อย่างประณีตดี การหยิบยกเรื่องปิตาธิปไตยมาพูดก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญ ความเลวร้ายของระบบแบบนี้ไม่ได้มีแต่ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อแต่เพียงเท่านั้น แต่ในตัวหนังก็ยังพยายามให้ผู้ชมได้เห็นว่าผู้ชายด้วยกันเองก็เป็นเหยื่อได้เช่นเดียวกัน สำหรับสารัตถะของหนังที่คิดว่ามันเป็นประเด็นที่ดีมากคือการพยายามจะทำให้เห็นถึงการกดทับของอำนาจที่ทำให้ตัวเราไม่สามารถจะพูดถึงสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ขึ้นมาได้ ตัวหนังเล่าออกมาได้ยอดเยี่ยมมากเลย ส่งอารมณ์มาถึงได้จริงๆ ด้วยทั้งตัวบทและการแสดงที่เข้ามาช่วยเสริมกันอีกก็สมบูรณ์แบบมาก

ส่วนสิ่งที่ประทับใจที่สุดก็คือตอนที่ Ani FaNelli อธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาแล้วไปเปรียบเทียบกับก๊าซที่บอกว่า ‘มันไม่สี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติแต่มันมีพิษและมันมีพิษกับตัวฉันเอง’ มันเป็นไดอะล็อกที่แบบโห พอคิดตามแล้วรู้สึกว่าน่าทึ่งมากที่สามารถอธิบายความเจ็บปวดและความแตกสลายของตัวละครออกได้หมดจดขนาดนั้น ติดตามรับชมเต็มเรื่องได้ที่ ดูหนัง Luckiest Girl Alive (2022) ให้ตายสิ…ใครๆ ก็อิจฉา

Comments

Popular posts from this blog

รีวิว A Man Called Otto (2022) มนุษย์ลุง ชื่ออ๊อตโต้

รีวิว Spider-Man: No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม

รีวิว Fire Island (2022) ไฟล์ ไอร์แลนด์